วันศุกร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2554

อกุศลมูล 3 เเละ อคติ 4


อกุศลมูล 3 
             
หมายถึง ความชั่ว ความไม่ดี บาป มี 3 อย่าง คือ
                 1. โลภะ หมายถึง ความอยากได้ที่เกินพอดี เช่นอยากได้ในสิ่งของที่ไม่ใช่ของตน ฯลฯ
                 2. โทสะ หมายถึง ความโกรธแค้นพยาบาท ความริษยา
                 3. โมหะ หมายถึง การใช้อารมณ์ตัดสิน ไม่ตั้งอยู่ในหลักของเหตุผลและสติปัญญา
                          อคติ 4 
              
อคติ คือความลำเอียง หรือการปฏิบัติต่อคนอย่างไม่เสมอหน้า สาเหตุของความลำเอียงมี 4 ประเภท คือ
                 1. ฉันทาคติ คือลำเอียงเพราะชอบ 

                 
2. โทสาคติ คือ ลำเอียงเพราะชัง
                 3. โมหาคติ คือ ลำเอียงเพราะหลง
                 4. ภยาคติ คือ ลำเอียงเพราะกลัว

                   

โอวาท 3


โอวาท 3 
      โอวาท 3 เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่ถือเป็นหลักธรรมที่สำคัญของพระพุทธศาสนา จนกล่าวได้ว่า "เป็นหัวใจ"ของพระพุทธศาสนาเลยทีเดียว เพราะหลักธรรมต่างๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน สามารถสรุปเรื่องทั้งหมดลงในโอวาท 3 ซึ่งได้แก่
1. ไม่ทำชั่วทั้งปวง หมายถึง เว้นจากทุจริต คือ เว้นจากการประพฤติชั่ว ด้วยกาย วาจา ใจ

2. ทำแต่ความดี หมายถึง ประกอบสุจริต คือ ประพฤติชอบ ด้วยกาย วาจา ใจ

3. ทำจิตของตนให้บริสุทธิ์ หมายถึง ทำใจของตนให้หมดจด จากเครื่องเศร้าหมองต่างๆ มีโลภ โกรธ หลง เป็นต้น

พระพุทธองค์ประทานโอวาท 3 หรือ "โอวาทปาฏิโมกข์" แก่เหล่าภิกษุสงฆ์จำนวน 1,250 องค์ ที่มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ในวันเพ็ญเดือน 3 ที่ "วัดเวฬุวันมหาวิหาร" ใกล้กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ

เรื่องโอวาท 3 ในชั้นนี้นะคะ จะเรียนเพียงไม่กี่เรื่องซึ่งจะค่อยๆเขียนรายละเอียดในคราวหน้า วันนี้จะบอกไว้ก่อนค่ะ ว่าเราจะเรียนเรื่องอะไรบ้างในแต่ละหัวข้อใหญ่ๆ ซึ่งได้แก่

***ไม่ทำชั่ว จะเรียนเรื่อง เบญจศีลและอบายมุข 4

***ทำความดี จะเรียนเรื่อง เบญจธรรม, บุญกิริยาวัตถุ 3, อคติ 4, อิทธิบาท 4, กตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธศาสนา, มงคล 38

***ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ จะเรียนเรื่อง สวดมนต์ไหว้พระ, ฝึกสมาธิ, แผ่เมตตา, ฝึกกำหนดรู้, ความรู้สึกต่างๆ


ดูๆแล้วเหมือนกับว่าเยอะนะคะ แต่ก็ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ เรื่องต่างๆที่เรียนเป็นเรื่องที่เรารู้บ้างมาก่อนแล้ว เรามาเรียนแค่เสริมความรู้เก่าๆของเราเท่านั้นเอง ไม่ต้องตกใจไปนะคะ

ทิศ 6


ทิศ 6 บุคคลประเภทต่างๆ ที่เราต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์ทางสังคมดุจทิศที่อยู่รอบตัว
  1. ทิศเบื้องหน้า คือ ทิศตะวันออก (ปุรัตถิมทิศ) ได้แก่ มารดาบิดา เพราะเป็นผู้อุปการะแก่เรามาก่อน
    ก. บุตรธิดาพึงบำรุงมารดาบิดา ผู้เป็นทิศเบื้องหน้า ดังนี้
    1. ท่านเลี้ยงเรามาแล้ว เลี้ยงท่านตอบ
    2. ช่วยทำการงานของท่าน
    3. ดำรงวงศ์สกุล
    4. ประพฤติตนให้เหมาะสมกับความเป็นทายาท
    5. เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ทำบุญอุทิศให้ม่าน
    ข. บิดามารดาย่อมอนุเคราะห์บุตรธิดา ดังนี้
    1. ห้ามปรามจากความชั่ว
    2. ให้ตั้งอยู่ในความดี
    3. ให้ศึกษาศิลปวิทยา
    4. หาคู่ครองที่สมควรให้
    5. มอบทรัพย์สมบัติให้ในโอกาสอันสมควร
  2. ทิศเบื้องขวา คือ ทิศใต้ ( ทักษิณทิศ) ได้แก่ ครูอาจารย์ เพราะเป็นทักขิไณยบุคคลควรแก่การบูชาคุณ
    ก. ศิษย์พึงบำรุงครูอาจารย์ ผู้เป็นทิศเบื้องขวา ดังนี้
    1. ลุกต้อนรับ
    2. เข้าไปหา
    3. ใฝ่ใจเรียน
    4. ปรนนิบัติ ช่วยบริการ
    5. เรียนศิลปะวิทยาโดยเคารพ
    ข. ครูอาจารย์ย่อมอนุเคราะห์ศิษย์ ดังนี้
    1. ฝึกฝนแนะนำให้เป็นคนดี
    2. สอนให้เข้าใจแจ่มแจ้ง
    3. สอนศิลปะวิทยาให้สิ้นเชิง
    4. ยกย่องให้ปรากฎในหมู่คณะ
    5. สร้างเครื่องคุ้มภัยในสารทิศ
  3. ทิศเบื้องหลัง คือ ทิศตะวันตก ( ปัจฉิมทิศ) ได้แก่ บุตรภรรยา เพราะมีขึ้นภายหลังและคอยเป็นกำลังสนับสนุนอยู่ข้างหลัง
    ก. สามีพึงบำรุงภรรยา ผู้เป็นทิศเบื้องหลัง ดังนี้
    1. ยกย่องให้เกียรติสมกับฐานะที่เป็นภรรยา
    2. ไม่ดูหมิ่น
    3. ไม่นอกใจ
    4. มอบความเป็นใหญ่ในงานบ้านให้
    5. หาเครื่องประดับมาให้เป็นของขวัญตามโอกาส
    ข. ภรรยาย่อมอนุเคราะห์สามี ดังนี้
    1. จัดงานบ้านให้เรียบร้อย
    2. สงเคราะห์ญาติมิตรทั้งสองฝ่ายด้วยดี
    3. ไม่นอกใจ
    4. รักษาทรัพย์สมบัติที่หามาได้
    5. ขยันไม่เกียจคร้านในงานทั้งปวง
  4. ทิศเบื้องซ้าย คือ ทิศเหนือ (อุตตรทิศ) ได้แก่ มิตรสหาย เพราะเป็นผู้ช่วยให้ข้ามพ้นอุปสรรคภัยอันตราย และเป็นกำลังสนับสนุน ให้บรรลุความสำเร็จ
    ก. บุคคลพึงบำรุงมิตรสหาย ผู้เป็นทิศเบื้องซ้าย ดังนี้
    1. เผื่อแผ่แบ่งปัน
    2. พูดจามีน้ำใจ
    3. ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
    4. มีตนเสมอ ร่วมสุขร่วมทุกข์กัน
    5. ซื่อสัตย์จริงใจต่อกัน
    ข. มิตรสหายย่อมอนุเคราะห์ตอบ ดังนี้
    1. เมื่อเพื่อนประมาท ช่วยรักษาป้องกัน
    2. เมื่อเพื่อนประมาท ช่วยรักษาทรัพย์สมบัติของเพื่อน
    3. ในคราวมีภัย เป็นที่พึ่งได้
    4. ไม่ละทิ้งในยามทุกข์ยาก
    5. นับถือตลอดถึงวงศ์ญาติของมิตร
  5. ทิศเบื้องล่าง ( เหฏฐิมทิศ) ได้แก่ คนรับใช้และคนงาน เพราะเป็นผู้ช่วยทำการงานต่างๆ เป็นฐานกำลังให้
    ก. นายพึงบำรุงคนรับใช้และคนงาน ผู้เป็นทิศเบื้องล่าง ดังนี้
    1. จัดการงานให้ทำตามความเหมาะสมกับกำลังความสามารถ
    2. ให้ค่าจ้างรางวัลสมควรแก่งานและความเป็นอยู่
    3. จัดสวัสดิการดี มีช่วยรักษาพยาบาลในยามเจ็บไข้ เป็นต้น
    4. ได้ของแปลกๆ พิเศษมา ก็แบ่งปันให้
    5. ให้มีวันหยุดและพักผ่อนหย่อนใจตามโอกาสอันควร
    ข. คนรับใช้และคนงานย่อมอนุเคราะห์นาย ดังนี้
    1. เริ่มการงานก่อนนาย
    2. เลิกงานหลังนาย
    3. ถือเอาแต่ของที่นายให้
    4. ทำการงานให้เรียบร้อยและดียิ่งขึ้น
    5. นำเกียรติคุณของนายไปเผยแพร่
  6. ทิศเบื้องบน (อุปริมทิศ) ได้แก่ สมณพราหมณ์ คือ พระสงฆ์ เพราะเป็นผู้สูงด้วยคุณธรรมและเป็นผู้นำทางจิตใจ
    ก. คฤหัสถ์ย่อมบำรุงพระสงฆ์ ผู้เป็นทิศเบื้องบน ดังนี้
    1. จะทำสิ่งใด ก็ทำด้วยเมตตา
    2. จะพูดสิ่งใด ก็พูดด้วยเมตตา
    3. จะคิดสิ่งใด ก็คิดด้วยเมตตา
    4. ต้อนรับด้วยความเต็มใจ
    5. อุปถัมภ์ด้วยปัจจัย 4
    ข. พระสงฆ์ย่อมอนุเคราะห์คฤหัสถ์ ดังนี้
    1. ห้ามปรามจากความชั่ว
    2. ให้ตั้งอยู่ในความดี
    3. อนุเคราะห์ด้วยความปรารถนาดี
    4. ให้ได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง
    5. ทำสิ่งที่เคยฟังแล้วให้แจ่มแจ้ง
    6. บอกทางสวรรค์ คือ ทางชีวิตที่มีความสุขความเจริญให้

     ที่มา  http://www.easyinsurance4u.com/buddha4u/directions.htm
 

มรรค 8

มรรค 8   ดินแดนปัญญาชนขอนำเสนอแนวทางปฏิบัติตนที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทางตรัสสั่งสอนไว้ ซึ่งหลักธรรมที่ฆราวาทพึงปฏิบัติคือ มรรค 8 (บ้างก็เรียก มรรคมีองค์ 8) อันเป็นหนทางแห่งความดับทุกข์ เรียกเต็มๆว่า อริยอัฏฐังคิกมรรค แปลว่า ทางซึ่งมีองค์ 8 ประการ อันประเสริฐ ได้แก่

   1. สัมมาทิฏฐิ คือ เห็นชอบ
   2. สัมมาสังกัปปะ คือ ดำริชอบ
   3. สัมมาวาจา คือ เจรจาชอบ
   4. สัมมากัมมันตะ คือ ทำการชอบ
   5. สัมมาอาชีวะ คือ เลี้ยงชีพชอบ
   6. สัมมาวายามะ คือ เพียรชอบ
   7. สัมมาสติ คือ ระลึกชอบ
   8. สัมมาสมาธิ คือ ตั้งจิตมั่นชอบ

   เมื่อเราปฏิบัติได้ตามนั้นแล้ว เราก็จะไม่เดือดร้อน สังคมก็จะไม่เดือนร้อน เพราะเราทำตัวชอบ ทำตัวดี เช่น บางคนที่มีความคิดไม่ดี คิดแต่จะโกง จึงกระทำการโกง เอาความรู้หากินแบบผิดๆ มีความพยายามในการโกง ยิ่งมีอำนาจมากก็โกงมาก ออกกฎหมายให้รองรับการโกงของตนและพวก จะพูดคำใด มีแต่คำโกหกพกลม เขาอาจจะรวยในช่วงต้น แต่ช่วงปลายอาจจะหมดตัว อาจถูกกฎหมายลงโทษ อาจไม่มีแผ่นดินอยู่ นั้นเพราะขาด มรรค 8 ในการควบคุมตนเองนั้นเอง


อิทธิบาท 4


อิทธิบาท 4

    
 คำว่า อิทธิบาท แปลว่า บาทฐานแห่งความสำเร็จ หมายถึง สิ่งซึ่งมีคุณธรรม เครื่องให้ลุถึงความสำเร็จตามที่ตนประสงค์ ผู้หวังความสำเร็จในสิ่งใด ต้องทำตนให้สมบูรณ์ ด้วยสิ่งที่เรียกว่า อิทธิบาท ซึ่งจำแนกไว้เป็น ๔ คือ
๑. ฉันทะ ความพอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น
๒. วิริยะ ความพากเพียรในสิ่งนั้น
๓. จิตตะ ความเอาใจใส่ฝักใฝ่ในสิ่งนั้น
๔. วิมังสา ความหมั่นสอดส่องในเหตุผลของสิ่งนั้น
ธรรม ๔ อย่างนี้ ย่อมเนื่องกัน แต่ละอย่างๆ มีหน้าที่เฉพาะของตน







ฉันทะ คือความพอใจ ในฐานะเป็นสิ่งที่ ตนถือว่า ดีที่สุด ที่มนุษย์เรา ควรจะได้ ข้อนี้ เป็นกำลังใจ อันแรก ที่ทำให้เกิด คุณธรรม ข้อต่อไป ทุกข้อ
วิริยะ คือความพากเพียร หมายถึง การการะทำที่ติดต่อ ไม่ขาดตอน เป็นระยะยาว จนประสบ ความสำเร็จ คำนี้ มีความหมายของ ความกล้าหาญ เจืออยู่ด้วย ส่วนหนึ่ง
จิตตะ หมายถึงความไม่ทอดทิ้ง สิ่งนั้น ไปจากความรู้สึก ของตัว ทำสิ่งซึ่งเป็น วัตถุประสงค์ นั้นให้เด่นชัด อยู่ในใจเสมอ คำนี้ รวมความหมาย ของคำว่า สมาธิ อยู่ด้วยอย่างเต็มที่
วิมังสา หมายถึงความสอดส่องใน เหตุและผล แห่งความสำเร็จ เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ ให้ลึกซึ้งยิ่งๆ ขึ้นไปตลอดเวลา คำนี้ รวมความหมาย ของคำว่า ปัญญา ไว้อย่างเต็มที่


ข้อมูลจาก